A non-technical introduction to Artificial Intelligence (AI) and Machine Learning (ML) for technical people. This series of contents aims to equip technical staff with the necessary skills to leverage AI for enhanced business performance and innovation.
 |
Image from fotor.com |
เมื่อ AI เปลี่ยนโลกและเปลี่ยนเรา ผลกระทบในหลากมิติ
ผ่านไปแล้ว 3 EP เราได้เข้าใจถึงพื้นฐาน และแนวคิดสำคัญในการพัฒนา AI พวกเราซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงที่ AI เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกล่าวกันว่า AI เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญกับทิศทางในอนาคตของมนุษยชาติอย่างไม่เคยมีมาก่อน ถึงกับมีแนวความคิดที่ทั้งน่าตื่นเต้นและตระหนกไปพร้อมกันว่า ในแง่การพัฒนา AI เรากำลังอยู่ ณ จุดสิ้นสุดของยุคสมัย สิ่งที่จะมาต่อจากนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง[1] ใน EP นี้มาชวนมองไปถึงอนาคตอันใกล้ สำรวจความเป็นไปได้ในด้านต่างๆ ทั้ง การงาน สังคม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ไปจนถึง...สงคราม ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้จาก AI ผลการวิเคราะห์และคาดการณ์ ตลอดจนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกัน เรามาตั้งคำถามถึงอนาคต ร่วมกันหาคำตอบ เพื่อให้เราพร้อมรับมือความท้าทายที่เรา และคนในรุ่นถัดๆ ไปต้องเผชิญ และเนื่องจากมีเนื้อหาค่อนข้างมากในแต่ละด้าน EP นี้จะแบ่งเป็นหลายๆ ส่วน โดยบทความนี้จะเป็นส่วนแรก ที่จะพูดถึง ผลกระทบต่ออาชีพ และการทำงาน
ตอนที่ 1 อนาคตของแรงงานมนุษย์ในยุค AI: โอกาสหรือความท้าทาย
ประเด็นใหญ่ในหมู่คนวัยทำงาน คือผลกระทบจาก AI ต่อความมั่นคงทางอาชีพและการจ้างงาน งานที่เราทำอยู่ ทักษะความชำนาญที่อาจถูก AI เข้ามาแทนที่ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เด็กๆ จะเรียนอะไร เรียนจบมาแล้วจะถูก AI มาทดแทนหรือไม่ งานอะไรจะหายไป ทักษะอะไรที่จะอยู่รอดในอนาคต จากที่ก่อนหน้านั้น เคยคิดกันว่า AI จะมาแทน กลุ่มแรงงานทักษะต่ำ หรือ blue collar งานที่ทำซ้ำๆ ใช้แรงงาน เนื่องจาก AI ในยุคแรกนั้นที่ทำได้จำกัด ช่วยเราขยับไปทำงานที่ใช้ทักษะสูง ใช้ความคิดสร้างสรรค์กันมากขึ้น แต่มาวันนี้ AI สามารถทำงานของกลุ่มทักษะสูง หรือ white collar สามารถแบบทดสอบในระดับปริญญาเอก ข้อสอบแพทย์ [2] ช่วยงานวิจัยที่ซับซ้อน ทำได้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่าคนโดยเฉลี่ยซะอีก แม้แต่งานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ อย่าง งานออกแบบ วาดภาพ แต่งเพลง ถึงแม้จะยังมีคุณภาพไม่สูงนัก แต่อย่างที่เรารู้ว่า AI พัฒนาเร็วมากในช่วงหลังๆ เรียกได้ว่า สมมุติว่ามนุษย์คนหนึ่งเริ่มเรียนสาขาวิชาใดสาขาหนึ่งในวันนี้ วันที่คนนั้นเรียนจบสำเร็จออกมา ในขณะคนยังเป็นเพียงเด็กจบใหม่ แต่ AI น่าจะพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ไปได้ถึงขั้นผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว [3]
เราเริ่มต้นปี 2025 ด้วยข่าวการลดคนสองแสนตำแหน่ง เพราะ AI จะเข้ามาแทนที่!
 |
Wall Street Job Losses May Top 200,000 as AI Replaces Roles. Credit Bloomberg |
เราจะมาช่วยคุยถึงแนวโน้มในอนาคต โดยยังไม่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดที่ยังมีในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแม่นยำถูกต้องของ AI หรือข้อบังคับ กฏหมายต่างๆ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อยู่ระหว่างการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
1. บทบาทของ AI ในที่ทำงาน
เรามาเริ่มจากบทบาทของ AI ในชีวิตการทำงานกัน โดยในระยะแรก AI ยังคงถูกใช้ในฐานะเครื่องมือ ผู้ช่วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อจำกัดเรื่องทรัพยากรมนุษย์ ไม่ว่าจะในฐานะเครื่องมือให้มนุษย์ใช้งาน หรือเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการอัตโนมัติ intelligent process automation [4] จากผลการศึกษาพบว่า AI ช่วยลดช่องว่างด้านประสบการณ์ของพนักงานได้อย่างมีนัยสำคัญ[5] ปัจจุบันมีการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI ในสายธุรกิจต่างๆ มีตั้งแต่ โฆษณา บันเทิง การแพทย์ การเงิน และแน่นอนว่ารวมถึงงาน IT หลายองค์กรรวมทั้ง World Economic Forum ได้นำเสนอผลการศึกษาลักษณะงานแบบไหนที่สามารถนำ AI เข้ามาช่วยลดภาระได้ โดยลักษณะการใช้งานด้านต่างๆ ที่เราเริ่มพบได้ตั้งแต่ในงานทั่วไป เช่น ตอบอีเมล์ chatbots ตอบคำถามลูกค้า คัดกรองใบสมัครงาน ไปจนถึงงานเฉพาะทาง ช่วยในการวินิจฉัยโรค เฝ้าระวังอาการผู้ป่วย การวางแผนการลงทุน การตรวจจับการทุรจริต ออกแบบทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม
 |
The potential of US workers’ time that could potentially be automated or augmented by technology such as LLMs.. Source Accenture https://bankingblog.accenture.com/3-ways-generative-ai-will-transform-banking |
จากรายงาน Future of Jobs Report 2025 [6] มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ นายจ้างกว่า 40% มีแผนที่จะลดจำนวนพนักงานลง หาก AI สามารถเข้ามาทดแทนได้
2. AI กับความเป็นไปได้ในการทดแทนแรงงานมนุษย์
ทีนี้เรามาดูกัน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวกันว่าอย่างไรบ้าง Dr. Emily Chen นักวิจัยด้าน AI ที่มีชื่อเสียงได้กล่าวไว้ "ในการนำ AI เช้ามาใช้ในงานต่างๆ จะไม่ได้ทดแทนความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ แต่จะช่วยยกระดับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์" ซึ่งเรามักจะได้ยินความเห็นลักษณะคล้ายๆ กันนี้ จากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน มีแต่"ความคิดสร้างสรรค์"เท่านั้นหรือ แล้วงานอย่างอื่นละ
คำถามที่น่าสนใจคือ ต่อไป AI จะยังคงอยู่ในสถานะเพียงเครื่องมือสำหรับมนุษย์ หรือมันจะมาแทนคนใช้เครื่องมือกันแน่ การที่ของสิ่งหนึ่งถูกทดแทนด้วยสิ่งใหม่ได้นั้น มีหลากหลายปัจจัย เช่น การทดแทนกันได้ (Substitutability) ความคุ้มค่า (Cost-benefit) ค่าโอกาส (Opportunity cost) ความเสี่ยง (Risk and Uncertainty) เพื่อให้เราเข้าใจมากขึ้น เราจะมาดูในบางข้อที่สำคัญกัน
ในมุมมองการทดแทนกัน (Substitutability)
เรามาดูในแง่ความสามารถของ AI และความเร็วในการพัฒนากัน ปัจจุบัน เราวัดความแม่นยำ ของ AI โดยเทียบกับมนุษย์เป็นบรรทัดฐาน จากข้อมูลของ Stanford University’s 2024 AI Index [8] และผลจาก OpenAI เป็นตัวเปรียบเทียบ [3]
 |
Select AI Index technical performance benchmarks vs. human performance: Image credit: sherwood.news |
 |
ผลการทดสอบ GPQA-diamond questions ระหว่าง chatGPT model ต่างๆ เทียบกับผู้เชี่ยวชาญที่จบ PhD: Credit openai.com |
จากข้อมูล AI Index จะเห็นว่า AI มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ขยับเข้ามาใกล้กับความสามารถของมนุษย์มากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เป็นการเปรียบเทียบเฉพาะในทักษะใดทักษะหนึ่งเฉพาะด้านเท่านั้น ส่วน AI ในทางการแพทย์นั้น มีผลการวิจัยออกมาอย่างสม่ำเสมอ [9] [10] [11] ในมุมนี้เราจะสรุปได้ว่า ในแง่ทักษะเฉพาะด้าน (narrow AI) AI สามารถทำผลงานได้ดี เทียบเท่ากัน หรือกระทั้งดีกว่าแพทย์ในบางด้าน
จาก EP 2 เราได้รู้จักกับแนวคิดของ Agentic AI ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ การคิดเป็นลำดับขั้นตอนอย่างมีเหตุผล (reasoning) การแก้ปัญหา การเลือกใช้เครื่องมือ ทำให้ AI สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยอนาคตอันใกล้ มีแนวคิดของ Domain-Specific AI agent ซึ่งเป็นการพัฒนา AI ให้มีความชำนาญเฉพาะทาง รอบรู้ในบริบทของงานนั้นๆ เพื่อให้สามารถ วิเคราะห์และแก้ปัญหา ได้ตรงจุดมากขึ้น เช่น ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ในด้านการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ด้านบัญชีด้านภาษี หรือกฏหมายเฉพาะด้าน เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ AI มีความยืดหยุ่นในการใช้งานเฉพาะด้านมากขึ้น
แน่นอนว่าถึงตอนนี้ AI สามารถทดแทนงานที่ต้องใช้ความคิด วิเคราะห์ (cognitive task) ได้ แต่ยังไม่สามารถทดแทนงานที่ต้องใช้ทักษะทางร่างกายได้ (physical task) ซึ่งเป็นศาสตร์ด้านหุ่นยนต์ (robotic) ดังนั้นเรายังคงไม่เห็นหุ่นยนต์ AI ทำการผ่าตัดได้ด้วยตัวเองในเร็วๆ นี้
ในด้านความคุ้มค่า (Economic Efficiency)
เรามาลองดูตัวอย่างง่ายๆ ในการนำ AI เข้ามาใช้กัน โดยเราจะยังไม่คิดถึงค่าใช้จ่ายในการพัฒนา AI เทียบกับการพัฒนาคนละกัน กรณีงาน IT เรานำ AI เข้ามาใช้ในการเขียนโค้ด สมมุติว่าวิศวกรซอฟต์แวร์ 1 คน สามารถเขียนโค้ดได้ 100 บรรทัดต่อวัน ส่วน chatGPT-4o ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวน token* โดยเฉลี่ยต้องใช้ประมาณ 10 tokens ต่อบรรทัด (ประมาณ 4 ตัวอักษร ต่อ 1 token) ดังนั้น chatGPT-4o จะต้องใช้ 1000 tokens ต่อวัน เพื่อเขียนโค้ดให้เท่ากับมนุษย์ เราเสียค่าใช้จ่ายสำหรับ AI $0.015 ต่อวัน เทียบกับ ค่าจ้างคิดเป็นวันของ วิศวกรซอฟต์แวร์ระดับซีเนียร์ในเมือง Austin มลรัฐ Texas ที่ $540 ต่อวัน (ข้อมูลจาก ChatGPT กับ Gemini) จ่ายน้อยกว่ากันถึง 99.99% เลยที่เดียว จากที่เราทราบกันแล้วว่า AI มีแนวโน้มจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี เรามาดูในแง่ค่าใช้จ่ายในการใช้งานกันบ้าง จะพบว่า มีค่าใช้จ่ายที่ลดลงเรื่อยๆ เป็นทิศทางตรงกันข้ามกับประสิทธิภาพที่มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับมนุษย์ที่ยิ่งเก่งขึ้นยิ่งมีค่าจ้างแพงขึ้น
(*สามารถดูความหมายของ token เพิ่มเติมได้ที่ https://fintechthailand.blogspot.com/2023/08/road-to-automated-analytics.html)
 |
ค่าใช้จ่ายการใช้งาน Generative AI ที่ต่ำลงใน AI รุ่นใหม่ (USD ต่อ 1,000 tokens). Source: OpenAI |
ส่วนในด้านการแพทย์นั้น จากผลการศึกษาในปากีสถานปี 2022 พบว่าการใช้ AI เข้ามาช่วยทำรังสีวินิจฉัย มีความคุ้มค่ากว่าการใช่รังสีแพทย์อย่างเดียว โดยเฉพาะรังสีแพทย์ซึ่งอยู่ในสภาวะขาดแคลนในปากีสถาน [13]
"When it's faster, safer, better, cheaper. Who's going to not adopt?" David Shapiro
แน่นอนว่านอกเหนือจากมุมมองดังกล่าวแล้ว ยังมีมุมมองอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น ความเสี่ยง ผลกระทบในระยะยาว หลายคนอาจจะยังกังขาว่า มนุษย์เราจะไว้วางใจให้ AI ทำงานให้เราแทนที่จะเป็นมนุษย์ด้วยกันหรือไม่ ความไว้วางใจในเชื่อถือที่มนุษย์มีต่อ AI ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อน่ากังวลอยู่ไม่น้อย เรามาดูผลการวิจัยที่น่าสนใจกัน
3. ความไว้วางใจที่มนุษย์มีต่อ AI
เราทราบกันแล้วว่า ในการพัฒนา AI นั้น เราวัดผลเทียบกับมนุษย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ซึ่งในหลายด้านนั้น ผลออกมาดี ใกล้เคียง หรือแม้แต่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของผู้เชี่ยวชาญซะอีก แต่การที่ AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ในงานต่างๆได้นั้น สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การยอมรับหรือความเชื่อถือไว้วางใจของมนุษย์ที่มีต่อ AI เป็นที่ทราบกันว่า ผลลัพธ์ของ AI โดยเฉพาะกลุ่ม generative AI ในปัจจุบันยังมีความประเด็นเรื่องความถูกต้องอยู่
ก่อนอื่นเรามาดูนิยามของความเชื่อใจ (trust) กันก่อน ในที่นี้เรายึดตามนิยามของ Mayer, Davis, and Schoorman (1995) ที่ว่า ความเชื่อใจคือ "การที่ฝ่ายหนึ่งยอมเสี่ยงรับการกระทำของอีกฝ่ายโดยเต็มใจ โดยคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะปฏิบัติต่อสิ่งที่มีความสำคัญต่อตนเอง โดยที่ไม่สามารถตรวจสอบหรือควบคุมการกระทำของฝ่ายกระทำได้"
มีผลการสำรวจที่พบว่ามนุษย์ไว้วางใจให้ AI ทำงานเชิงวิเคราะห์ที่ซับซ้อน จนถึงขั้นปล่อยให้ระบบควบคุมตัดสินใจแทน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความไว้ใจในระดับที่สูง [14]
จากผลการศึกษาของ KPMG Australia ร่วมกับ The University of Queensland ในปี 2023 พบว่าการทำงาน พนักงานถึง 50% มีความไว้วางใจใน AI และที่น่าสนใจคือ ผู้ตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มที่จะเชื่อและยอมรับ AI ทางการแพทย์มากกว่า AI ด้านอื่นๆ [16] โดยจากผลสำรวจหนึ่งพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามถึง 64% เชื่อผลการวินิจฉัยจาก AI มากกว่าแพทย์ซะอีก ในคนเจน Z มีถึง 4 ใน 5 เลยทีเดียว [17]
 |
ผลสำรวจความเชื่อถือ AI ในที่ทำงาน Credit: KPMG Australia |
อีกผลสำรวจที่น่าสนใจทำโดย MIT ซึ่งให้ผู้ร่วมทดสอบให้คะแนนคำตอบทางการแพทย์โดยสุ่มระหว่างคำตอบของแพทย์จริง กับคำตอบจาก AI โดยที่ผู้ร่วมทดลองไม่ทราบว่า คำตอบนั้นมาจากไหน โดยคำตอบของ AI นั้น มีคุณหมอตัวจริง เป็นผู้ประเมินคุณภาพ เช่น ให้ข้อมูลหรือคำแนะนำที่ถูกต้อง ครบถ้วน แบ่งออกเป็นคำตอบกลุ่มคุณภาพสูง และกลุ่มคุณภาพต่ำ ซึ่งผลการศึกษาเปิดเผยถึงมุมมองที่ทั้งน่าสนใจและน่ากังวลไปพร้อมๆ กัน นั่นคือในกลุ่มคำตอบคุณภาพสูงนั้น ผู้ร่วมการทดสอบคิดว่าคำตอบจาก AI มีความน่าเชื่อและครบถ้วนมากกว่าคุณหมอ และยังมีบางส่วนที่เชื่อคำแนะนำที่ไม่ถูกต้องจาก AI คุณภาพต่ำมากกว่าคำแนะนำจากคุณหมอซะอีก แสดงถึงการเชื่อถือที่มากเกินไป ซึ่งในกรณีที่เกี่ยวกับสุขภาพ ความผิดพลาดเหล่านี้อาจส่งผลเสียที่ร้ายแรงได้ ดังนั้นการใช้ AI จึงควรใช้ร่วมกันแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง [18]
สำหรับหัวข้อเรื่องความไว้วางใจ ความเชื่อถือที่มนุษย์มีต่อ AI มีบทความรวบรวมงานวิจัยที่น่าสนใจ [14] เราจะกลับมาดูเรื่องนี้กันอีกทีในบทความ ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันและกับ AI
4. ผลกระทบจากการใช้ AI ที่มีต่อทักษะความชำนาญ
หนึ่งในความเสี่ยงจากการใช้งาน AI ซึ่งระบุโดยองค์การอนามัยโลกหรือ WHO คือความกังวลที่ว่า AI มีผลทำให้ทักษะความชำนาญลดลง (skills degradation) การขาดวิจารณญาณ ไต่ตรอง อันเนื่องจากผู้ใช้งานเชื่อใน AI มากเกินไป (automation bias) นอกจากนี้ เนื่องจาก AI เข้ามาช่วยการคิดวิเคราะห์ ทำให้มนุษย์ค่อยๆ ขาดทักษะที่จำเป็นไปที่ละน้อย มีงานวิจัย ที่ทำมาต่อเนื่องพบว่าเมื่อมนุษย์พึงพาเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ทำให้ทักษะลดลง เช่น การใช้เครื่องคิดเลข ทำให้ทักษะการคำนวณลดลง การใช้ GPS ทำให้ทักษะในการจดจำเส้นทางลดลง ไปจนถึง IQ โดยเฉลี่ยที่ลดลง ที่น่ากังวลคือการใช้เทคโนโลยีที่มากเกินไปในช่วงวัยที่มีการพัฒนาสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งเป็นส่วนของการใช้ความคิด วิเคราะห์ ซึ่งจะมีตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงช่วงอายุกลาง 20 จะมีผลต่อพัฒนาด้านความคิด วิเคราะห์ของมนุษย์ในที่สุด จนอาจเป็นการปิดกั้นไม่ให้มนุษย์สามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นได้ในอนาคต [19][20]
มีการศึกษาใน Finland, Norway และ Denmark ถึงผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีกับระดับ IQ พบว่า ระดับ IQ โดยเฉลี่ยลดลงปีละ 0.23 IQ point ตั้งแต่กลางยุค 1990 และยังมีความกังวลว่า Generative AI จะเป็นตัวเร่งให้ IQ ลดลงเร็วขึ้น เนื่องจาก AI ไปลดทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ หรือ critical thinking* [21]
* การคิดเชิงวิพากษ์ critical thinking คือกระบวนการคิดประเภทหนึ่งที่เราตั้งคำถาม วิเคราะห์ ตีความ ประเมินผล และตัดสินเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้อ่าน ฟัง หรือรับรู้ credit: Monash University
มาถึงตรงนี้แล้ว ทุกอย่างดูเป็นวงจรที่น่ากังวล เมื่อ AI ฉลาดขึ้น ทดแทนคนที่ฉลาดลดลงอันเป็นผลจากการใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI กลายเป็นว่าการใช้ AI เองเป็นอุปสรรคปิดกั้นการพัฒนาทักษะของมนุษย์ โดยเฉพาะในช่วงวัยที่สำคัญ ทำให้คนฉลาดน้อยลง จนต้องพึ่งพา AI ในการวิเคราะห์หรือตัดสินใจเรื่องสำคัญ
5. เตรียมรับมือกับการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ถึงตอนนี้เราต้องยอมรับแล้วว่า AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน การพัฒนาทักษะใหม่ๆ ไปจนถึงเปลี่ยนแปลงตัวงานเอง งานบางอย่างจะหมดไป แต่จะมีงานลักษณะใหม่ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่ แน่นอนว่า การยกระดับทักษะที่มีอยู่ การสร้างทักษะใหม่ อีกทั้งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยพัฒนาทักษะของแรงงานให้สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างดี
คาดกันว่าจะเกิดงานลักษณะใหม่ๆ ที่เกิดจากรวมทักษะความชำนาญหลายสาขาเข้าด้วยกัน กล่าวกันว่า นอกเหนือจากการใช้เวลาเพื่อเรียนรู้เป็นเพื่อผู้เชี่ยวชาญในสาขาหนึ่ง เราสามารถใช้ AI เพื่อช่วยเพื่อให้ได้ผล 80%-90% ในหลายๆ สาขาได้ เราอาจจะได้เห็นนักกฎหมายที่ทำงานในกฎหมายหลากหลายด้านโดยใช้ AI ช่วย หรือแพทย์ที่มี AI เป็นผู้ช่วยแทนแพทย์เฉพาะทางในสาขาอื่นๆ เป็นการใช้ AI เข้ามาช่วยเติมเต็มในทักษะและความรู้ส่วนที่ตนเองขาด
นอกจากนี้ ยังคาดกันว่าจะเกิดงานใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ถ้าไม่นับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI โดยตรงแล้ว ยังมีกลุ่มงานซึ่งต้องใช้ทักษะหรือความรู้เฉพาะด้านที่หลากหลาย เช่น ผู้ฝึกสอน AI ที่มีความรู้ในสาขาต่างๆ เช่น กฎหมาย บัญชี การศึกษา หรือจิตวิทยา เป็นต้น หรืออย่างบทบาทใหม่ที่เรียกว่า AI generalist ซึ่งสามารถนำ AI เข้าไปประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆ ซึ่งต้องสามารถปรับตัวทำงานได้หลากหลายสายธุรกิจ
ในภาคธุรกิจ การฝึกอบรมพนักงาน เตรียมความเข้าใจและความพร้อมให้สามารถทำงานร่วมกับ AI หรือระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ (intelligent process automation ) เพื่อให้คุ้นเคยกับการใช้ AI ในฐานะเครื่องมือในการทำงานที่ซับซ้อน หรืองานปริมาณมาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ให้เกิดความคุ้นเคย ยอมรับ และมองหาโอกาสใหม่ๆ จากการใช้ AI
ส่วนในภาคการศีกษา การสร้างแนวคิดการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เปิดพื้นที่ให้พัฒนาทักษะและความรู้ ที่หลากหลาย สำหรับกลุ่มที่ทำงานแล้ว การพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) ในช่วงระหว่างศึกษาไปจนวัยเริ่มต้นทำงาน และยังต้องคอยควบคุม ไม่ปล่อยให้นักเรียนนักศึกษาพึ่งพา AI ในการศึกษา จนไม่สามารถคิด วิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาวทั้งต่อตัวผู้เรียนและสังคมโดยรวม
บทสรุป
จากมุมมองความสามารถและความคุ้มค่าของการใช้ AI เพื่อทดแทนมนุษย์แล้ว พบกว่ามีแนวโน้มที่เป็นไปได้สูง และเพิ่มขี้นเรื่อยๆ จากค่าใช้จ่ายที่ถูกลง ความสามารถที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผลจากทักษะความรู้ของมนุษย์ที่ลดลง
มนุษย์มีความเชื่อถือใน AI มากขึ้น จนถึงจุดที่อาจมากกว่าผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งกลายเป็นดาบสองคม ถ้าความเชื่อถือนั้นขาดการคิดไต่ตรองที่ดีพอ
ส่วนตัวยังเชื่อว่า AI ยังไม่ส่งผลกระทบกับคนรุ่นที่ทำงานสั่งสมทักษะประสบการณ์มาระยะเวลานึงมากนัก หากคนกลุ่มนี้สามารถปรับตัวเพื่อใช้ AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ คนส่วนหนึ่งยังคงมีทักษะ หรือความชำนาญที่มากกว่า AI ในปัจจุบัน แต่จะเริ่มส่งผลกระทบกับเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการเรียน หรือเพิ่งจบไม่นาน ยังต้องการเวลาในการสั่งสมความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ซึ่งอาจทำได้ช้ากว่าความสามารถของ AI จนต้องเพิ่งพา AI มากจนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง
AI สามารถเข้ามาแทนที่ในเรื่อง การใช้ความคิด วิเคราะห์ แต่ยังไม่สามารถทดแทนการทำงานทางกายภาพได้ ดังนั้นลักษณะงานที่ต้องการทักษะทางกายภาพยังคงมีความจำเป็นในอนาคต จนกว่าเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ (robotic) จะสามารถพัฒนาขึ้นมาทดแทน
ความคิดสร้างสรรค์ เป็นหนึ่งในความสามารถที่โดดเด่นของมนุษย์ เมื่อรวมกับความสามารถของเรา ที่สามารถเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างสิ่งประดิษฐ์ ศิลปะ วรรณกรรม ดนตรี ไปจนถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม อย่าง ค่านิยมทางสังคม ความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทวีความจำเป็นในยุคของ AI เพื่อให้เราสามารถเลือกใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยดึงศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อันเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้
References:
No comments: